วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นับว่าเป็นวัน “ปลดล็อกกัญชา” ของเมืองไทย “กัญชาเสรี” หลังจาก กระทรวงสาธารณสุข ประกาศว่า กัญชาไม่ใช่ “ยาเสพติด” ทั้งยังยกเลิกความผิดพลาดฐานผลิต นำเข้า ส่งออก มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพหรือจำหน่าย รวมถึงการเสพหรือการสูบ ซึ่งสร้างความกลุ้มใจให้กับหลายฝ่าย เพราะเหตุว่าไม่มีการเตรียมมาตรการทางกฎหมาย เพื่อต่อกรกับผลลัพธ์ที่จะตามมา
หลังจากประกาศปลดล็อกกัญชา ก็มีข่าวการใช้กัญชาที่ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายผู้ใช้อย่างมากมาย ทำให้ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ จังหวัดกรุงเทพมหานคร ประกาศให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯ เป็น “เขตปลอดกัญชง – กัญชา” ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เหมือนกันกับตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ประกาศว่าโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการจะต้องเป็น “โรงเรียนปลอดกัญชา”
ความพยายามในการยับยั้งกัญชาในโรงเรียนที่สวนทางกับ “เสรีกัญชา” นอกรั้วโรงเรียน ทำให้การสั่งห้าม กลายเป็นเรื่องยาก และเป็นความวิตกกังวลที่ “อาจารย์” ต้องหาทางรับมือกับกัญชา ที่ไหลล้นเข้ามาในโรงเรียน
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ครูหลายท่านจับกลุ่ม “คุยสถานการณ์กัญชาเสรีในโรงเรียน” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อสะท้อนปัญหาเรื่องกัญชาในโรงเรียน ที่อาจจะกลายเป็นปัญหาแผ่ขยายใหญ่โต หากไม่มีมาตรการจัดการที่ชัดเจน

เหตุการณ์ กัญชาเสรี ในโรงเรียน
คุณครูหลายคนเริ่มต้นสะท้อนว่า ก่อนที่จะมีการปลดล็อก ตามประกาศกฎหมาย กัญชาเสรี ก็เผชิญปัญหา เด็กนักเรียนแอบใช้กัญชาอยู่บ้าง รวมไปถึงสารเสพติดอื่นๆ ซึ่งโดยมากจะมีเหตุมาจากนักเรียนอยากรู้อยากลอง โดยเด็กนักเรียนที่ใช้กัญชาจะมีลักษณะอยากนอน หลับในห้องเรียน และไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจ ขณะที่คุณครูมักจะใช้ กระบวนการว่ากล่าว ซึ่งทำให้นักเรียนไม่ต้องการมาเรียน เนื่องจากว่ารู้สึกขายขี้หน้า และหวาดกลัว
จากการสังเกตของครูคนจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมหลังการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ใช้เวลากว่า 2 ปี พบว่าพฤติกรรมขโมยของ และใช้กัญชาในนักเรียนมีเยอะขึ้น รวมทั้งได้รับแจ้งข้อมูลว่า มีเด็กเข้าไปเกี่ยวข้องกับ กัญชา ในทุกระดับชั้น และชั้นที่อายุน้อยที่สุดได้รับแจ้งคือเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ถึงแม้อาจารย์ต้องรับมือกับปัญหา กัญชา และพยายามหาทางขจัดปัญหาการใช้กัญชา ของผู้เรียน แต่อาจารย์ที่ร่วมวงพูดคุย ก็สะท้อนว่า การเป็นคุณครูเหมือนอยู่ที่เปลือกของปัญหา เพราะว่าการเข้าถึงรากของปัญหา ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สำหรับโรงเรียนที่ถึงแม้จะถูกระบุว่า เป็นสถานที่ที่ราชการ และไม่อนุญาตให้นำกัญชาเข้ามา แต่เมื่อเด็กนักเรียนก้าวเท้าออกจากโรงเรียน ก็สามารถประสบพบเห็นการซื้อขายกัญชาได้ง่ายๆ ก็เลยทำให้ปัญหาเรื่องการใช้กัญชา ในโรงเรียนกลายเป็นปัญหาที่ไม่สามารถที่จะสามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ปัญหาที่คุณครูต้องพบเจอ
ปัญหาข้อหนึ่งที่คุณครูสะท้อน คือการเข้าถึงสื่อที่ง่ายเกินไป โดยเฉพาะ TikTok ที่เด็กนักเรียนสามารถเข้าถึงข้อมูลเรื่องกัญชาได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว แต่ทว่าข้อมูลที่ปรากฏกลับกลายข้อมูลด้านเดียวที่ระบุว่า การใช้กัญชาจะมีผลให้จิตใจเบิกบาน ช่วงเวลาเดียวกันอาจารย์ผู้สอนเองก็ขาดความรู้เรื่องกัญชา หรือเรื่องหลักพิษวิทยาของกัญชา ทำให้ครูปราศจากความพร้อมสำหรับการสอน หรือรับมือกับเด็กที่ใช้สารเสพติด
ในทางกลับกัน ครูนิดหน่อยที่ตระหนักถึงจุดสำคัญของการสอนเรื่องจุดเด่น-จุดบกพร่องของกัญชา และพยายามเชื้อเชิญผู้เรียนพูดคุยแลกแปลง เรื่องกัญชาในคาบเรียน กลับไม่ได้รับการช่วยสนับสนุนหรือไม่มีคุณครูท่านอื่นร่วมด้วย เนื่องมาจากฝ่ายกิจการเด็กนักเรียนเห็นว่าการสอนเรื่องกัญชาเป็นเรื่องเฮฮา และไม่ใส่ใจที่จะให้ความรู้ความเข้าใจ
สิ่งเดียวกัน แม้นักเรียนจะสนใจเรื่องนี้อย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงความรู้เรื่องกัญชาได้ ด้วยเหตุว่าขัดกับหลักโรงเรียนคุณธรรม
คุณครูคนจำนวนไม่น้อยชี้ว่า อุปสรรคที่มีความสำคัญที่สุดของเหตุการณ์กัญชาในโรงเรียน เป็นทิศทางของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสังคม และนโยบายกัญชาเสรีของภาครัฐ นำมาซึ่งการทำให้ครูปฏิบัติงานลำบาก คุณครูเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ออกศึกแต่ไร้อาวุธ ตั้งแต่ไม่มีสื่อการสอนเรื่องกัญชาที่เป็นกลาง ที่ทำให้รู้ทั้งด้านดี และด้านเสียของการใช้กัญชา ไปจนกระทั่งกรรมวิธีต่อกรกับเด็กที่ใช้กัญชาอย่างแม่นยำ และไม่ลดทอนความเป็นมนุษย์ของเด็กนักเรียน
นอกเหนือจากนี้ ภาระหน้าที่งานอื่นๆจำนวนหลายชิ้นที่นอกเหนือจากการสอน ก็เป็นอีกต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คุณครูคนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะละเลยต่อเด็กที่มีปัญหา ถึงแม้อาจารย์รุ่นใหม่จะพยายามเข้าไปเปลี่ยนแปลง แต่แรงกระแทกจากคำสั่งกระทรวงฯ ผู้อำนวยการ เพื่อนคุณครู หรือผู้ปกครอง ก็ทำให้ครูหลายๆคนยอมแพ้ไปในที่สุด

ทางออกสำหรับทุกคน
คุณครูที่ร่วมวงเสวนาสะท้อนว่า ทางออกของหลักสำคัญกัญชาเสรีในโรงเรียนคือ สร้างการเรียนรู้ที่เปิดกว้าง ให้ผู้เรียนได้เสนอคำถามกับการใช้กัญชา เปิดโอกาสให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้ และเข้าถึงข้อมูลที่ถูก รวมถึงสร้างโอกาสให้ เกิดการสื่อสารระหว่างนักเรียน อาจารย์ และผู้บริหาร เหมือนกับการผลิตสื่อการสอนที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เอ่ยถึงจุดเด่น – จุดอ่อนของการใช้กัญชาอย่างตรงไปตรงมา และสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่าย
ทั้งนี้ การผลิตวัฒนธรรมหน่วยงานที่ “รับฟังนักเรียน” จะเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะยาว โดยครูที่ร่วมกลุ่มคุยมีความคิดเห็นว่า โรงเรียนไม่มีระบบที่เข้ามารองรับและช่วยเหลือ เด็กนักเรียนที่ใช้สารเสพติด เหมือนกันกับการติดต่อสื่อสารกับเด็กนักเรียนกลุ่มนี้ก็เป็นไปได้ยาก เพราะว่าคุณครูกับนักเรียนใช้คนละภาษา
ยิ่งไปกว่านั้น ความนิยมของโรงเรียนก็วินิจฉัยว่านักเรียนที่ใช้สารเสพติดเป็นคนไม่ดี คุณครูก็เพ่งเล็งว่านักเรียนคนนั้นๆเป็นเด็กเกเร เพื่อนร่วมชั้นก็ไม่ยอมรับ ซึ่งทั้งหมดล้วนนำมาซึ่งการทำให้การเห็นคุณค่าในตนเอง และกลับเนื้อกลับตัวให้ดีขึ้น ของผู้เรียนคนนั้นเกิดได้ยากขึ้นกว่าเดิม
เพราะฉะนั้น การทำงานกับความศรัทธาของคุณครูและเพื่อนร่วมชั้น ก็เลยเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก เพื่อทำให้นักเรียนมีคนที่สามารถเชื่อใจและคุยได้ ซึ่งจะทำให้นักเรียนรู้สึกไม่เป็นอันตราย เกิดความเชื่อถือและเชื่อใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกเชื่อมั่น และสะท้อนการเห็นคุณค่าในตนเอง ที่เยอะขึ้น
สุดท้ายเป็นความรับผิดชอบของภาครัฐ ที่ควรมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือคุณครูในสถานศึกษาที่กำลังต่อกรกับปัญหาเรื่องการใช้กัญชาของเด็กนักเรียน รวมไปถึงแนวทางที่จะช่วยอุดรอยรั่วของนโยบายกัญชาเสรี เพื่อคุ้มครองปกป้องเด็กนักเรียนจากการใช้กัญชาโดยไม่ตระหนักถึงข้อผิดพลาดของมัน เหมือนกับป้องกันไม่ให้กำเนิดคือปัญหาที่จะถาโถมเข้าใส่อาจารย์ผู้สอน กระทั่งอาจารย์รู้สึกหมดพลังกับการแก้ไขรายวัน และตัดทอนเลื่อมใสของครูที่ตั้งอกตั้งใจมาให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กนักเรียน